Menopause: วัยหมดประจำเดือน
วัยหมดระดู คือ ภาวะที่รังไข่หยุดทำงานโดยสิ้นเชิง
คือไม่สามารถผลิตฮอร์โมน และไม่มีการตกไข่อีกแล้ว โดยสามารถสังเกตได้จากการที่ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันเป็นระยะเวลา
12 เดือน นับจากการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย อายุของสตรีวัยหมดระดูจะอยู่ในช่วง
43-57 ปี โดยจะมีค่าเฉลี่ยอายุประมาณ 50
ปี อย่างไรก็ตามอาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดการหมดระดูเร็วขึ้น เช่น การสูบบุหรี่,
การตัดมดลูกและรังไข่จากโรคบางชนิด เช่น เนื้องอกมดลูก หรือ
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, ภาวะแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง (Autoimmune), การอยู่อาศัยในที่สูง รวมถึงการได้รับยาเคมีบำบัด
หรือการฉายรังสีรักษาบริเวณอุ้งเชิงกราน
สาเหตุ
การหมดระดูเป็นผลมาจากการที่รังไข่ไม่ตอบสนองต่อการทำงานของฮอร์โมน จากต่อมใต้สมองส่วนหน้าและมีการลดลงของจำนวนไข่ (follicle) ในรังไข่, ไม่สมารถผลิตฮอร์โมนเอสโตนเจนและโปรเจสเตอโรน โดยจะเริ่มลดลงหลังจากการเริ่มมีประจำเดือนไปแล้ว 20-25 ปี เป็นผลทำให้ไม่มีการตกไข่รอบประจำเดือนจะสั้นลง อาจมีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน ประจำเดือนมามากขาดหายไป หรือประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ ซึ่งมีผลทำให้สตรีในวัยนี้ได้รับการขูดมดลูก เพื่อตรวจหาภาวะของมะเร็งเนื่องจากการมีเลือดออกผิดปกติ (ภาวะของมะเร็งมดลูก + ปากมดลูกมักจะทำให้มีอาการเลือดออกผิดปกติได้เช่นกัน) นอกจากนี้อาจมีภาวะร้อนวูบวาบ หงุดหงิด นอนไม่หลับ อารมณ์เปลี่ยนแปลง ปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นก่อนการหมดประจำเดือน 5-10 ปี และอาการมักจะคงอยู่หลังจากหมดประจำเดือนประมาณ 1- 5 ปี
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายของผู้ที่มีภาวะหมดระดู
2. ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เนื่องจากมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน และจำนวนของเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้มดลูกฝ่อเล็กลง ผนังช่องคลอด และปากช่องคลอดแห้งบาง มีผลทำให้เวลามีเพศสัมพันธ์ จะมีอาการเจ็บและอักเสบง่ายขึ้น มีการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บ และกระบังลมทำให้มีการยื่นหย่อนของกระเพาะปัสสาวะ (Cystocele), มดลูก ( Prolapse uterus) หรือลำไส้ใหญ่ (rectocele) ได้
3. ระบบทางเดินปัสสาวะ ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะจะฝ่อและบางลง ทำให้มีการติดเชื้อง่ายขึ้น อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะบ่อย และนอกจากนี้ความเป็นกรดด่าง (PH) ในช่องคลอดลดลง ทำให้เกิดอาการคัน และมีกลิ่น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียในช่องคลอด
4. ผิวหนังและต่อมใต้ผิวหนัง ผิวหนังจะลดความยืดหยุ่นลง ขาดความชุ่มชื้น แห้ง และฝ่อบางเป็นแผลได้ง่าย เต้านมมีอาการฝ่อลงและเนื้อเต้านมถูกแทนที่โดยไขมัน
5. ภาวะกระดูกพรุน เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรังไข่ลดลงจะทำให้เกิดภาวะเนื้อกระดูกพรุนกระดูกกร่อนลง ซึ่งเป็นภาวะที่สำคัญที่สุดในสตรีสูงอายุ เพราะเนื้อกระดูกจะลดลงประมาณ 1-4 % ของทุก ๆ ปีภายหลังจากหมดระดู การวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนทำได้โดยวัดความหนาแน่นของกระดูก ถ้าค่าความหนาแน่นของกระดูกน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2.5 จากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานก็จะถือว่าเกิดภาวะกระดูกพรุน ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งเสริมที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนคือ การสูบบุหรี่, คนที่มีร่างกายผอมบาง (น้ำหนักน้อยกว่า 50 กิโลกรัม หรือ 127 ปอนด์) ภาวะการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือสตรีที่หมดระดูเร็ว (อายุน้อยกว่า 45 ปี) การขาดแคลเซียม (บริโภคแคลเซียมน้อยกว่า 400 มิลลิกรัม/ วัน) การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การขาดการออกกำลังกาย หรือภาวะทุโภชนาการ ถ้ามีภาวะกระดูกพรุนจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน คือ กระดูกสันหลังหักแบบยุบตัว ทำให้มีอาการปวดหลัง หลังโก่งคด และอาจไปกดทับเส้นประสาทที่ไขสันหลังได้ หรือกระดูกสะโพก และต้นขาหักง่าย ทำให้เดินไม่ได้ เสียชีวิตก่อนวัยอันควร หรือกระดูกข้อมือและต้นแขนหักง่าย แม้จะมีอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กระดูกหักได้
6. ระบบหัวใจและหลอดเลือด จากภาวะที่ร่างกายของฮอร์โมนเอสโตนเจน ทำให้สตรีวัยหมดระดูมีภาวะของไขมันในเส้นเลือด (LDL) เพิ่มมากขึ้น เป็นผลทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดแข็งตัว และมีภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงที่ยังไม่หมดระดูอย่างชัดเจน
7. ระบบประสาทส่วนกลางในการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้เกิดภาวะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า จิตใจหดหู่ ร่วมกับมีการเสื่อมถอยของความจำ
8. อาการอื่น ๆที่อาจพบได้ในวัยหมดประจำเดือน คือ มีความเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกทางเพศมีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด มีขนหรือหนวดเคราขึ้น เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตนเจน
การรักษาสตรีที่วัยหมดประจำเดือน
ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน และหรือโปรเจสเตอโรนทดแทนในช่วงวัยหมดระดู มีประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาการที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนดีขึ้น จากการศึกษาพบว่าการให้ฮอร์โมนทดแทน จะช่วยทำให้อาการทางระบบหลอดเลือด อาการร้อนวูบวาบ, หงุดหงิด,นอนไม่หลับ,อาการทางระบบทางเดินปัสสาวะดีขึ้น รวมถึงในเรื่องของภาวะกระดูกพรุน พบว่าการให้ฮอร์โมนจะช่วยลดภาวการณ์เกิดกระดูกหักบริเวณสะโพกและข้อมือลง ประมาณ 40 % ลดกระดูกหักบริเวณอื่น ๆที่ไม่ใช่กระดูกสันหลัง 27 % เทียบกับผู้ป่วยหญิงสูงอายุที่ไม่ได้รับยาฮอร์โมน การให้ฮอร์โมนจะมีรูปแบบทั้งการรับประทาน แผ่นแปะผิวหนัง หรือการให้ทาเฉพาะที่ การจะเลือกใช้ชนิดใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและการพิจารณาของแพทย์ นอกจากนี้การให้ฮอร์โมนทดแทนยังช่วยลดภาวการณ์เกิดโรคหัวใจขาดเลือดในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน และยังช่วยทำให้ภาวะซึมเศร้าดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของความจำโดยจะช่วยยืดระยะเวลาของการเกิดโรคอันไซเมอออกไปในหญิงสูงอายุ(แต่ไม่ได้ช่วยทำให้ป้องกันการเกิดโรคได้)
แม้ว่าการได้รับฮอร์โมนทดแทนนอกจากจะมีประโยชน์แก่ผู้ป่วยวัยหมดระดู แต่ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น
- เลือดออกทางช่องคลอด พบได้บ่อย
และทำให้ไม่อยากใช้ฮอร์โมนทดแทน ส่วนใหญ่พบได้ในช่วง 3-6
เดือนแรกที่เริ่มใช้ฮอร์โมนทดแทน และเมื่อใช้ฮอร์โมนทดแทนอย่างสม่ำเสมอ
เลือดที่ออกทางช่องคลอดจะหายไปเอง
- อาการเจ็บเต้านม
อาการนี้จะเป็นเฉพาะช่วงแรกที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนเท่านั้น
หลังจากนั้นจะลดลงและหายไป
- อาการปวดศีรษะไมเกรน
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สตรีวัยทองส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่ายอยู่แล้ว
ฮอร์โมนทดแทนไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก สาเหตุของการที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาจากการดำเนินชีวิตประจำวัน
โดยเฉพาะ ความไม่สมดุลระหว่างอาหาร การออกกำลังกาย
และอัตราการเผาผลาญอาหารในร่างกายที่ลดลง อย่างไรก็ตาม การให้ฮอร์โมนทดแทนจะให้ในปริมาณต่ำเท่ากับระดับปกติเท่านั้น
ไม่มีการให้เกินขนาด ดังนั้นอาการข้างเคียงจึงมีน้อย
นอกจากนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เนื่องจาก บางการศึกษาพบว่า ไม่สัมพันธ์กันระหว่างการกินฮอร์โมนทดแทนกับมะเร็งเต้านม บางการศึกษาพบว่าการให้ฮอร์โมนทดแทนมีผลเพิ่มภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม บางการศึกษาพบว่าภาวะเสี่ยงลดลง อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของ WHI (women’s health initiative) พบว่าอุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น เมื่อผู้ป่วยได้รับฮอร์โมนทดแทนแบบรับประทานร่วมกัน คือทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสติน แต่อุบัติการณ์ของมะเร็งเต้านมลดลง เมื่อได้รับเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้อุบัติการณ์ในการเกิดภาวะเสี่ยงจะขึ้นกับระยะเวลาในการให้ฮอร์โมนทดแทน (ถ้ารับประทานเป็นเวลานานหลายปีโอกาสจะเพิ่มมากขึ้น) อย่างไรก็ดีในผู้ป่วยที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะมารดา หรือพี่สาว) หรือมีประวัติเคยเป็นมะเร็งหรือก้อนที่เต้านมมาก่อน การรับประทานยาฮอร์โมนทดแทนภายหลังการหมดประจำเดือนยังไม่เป็นที่แนะนำ
นอกจากการให้ฮอร์โมนทดแทนในผู้ป่วยหญิงที่มีภาวะหมดระดูแล้ว ยังมีทางเลือกอื่นทๆ นอกจากการรับประทานยาฮอร์โมน เช่น การรับประทานแคลเซียมวันละ 1,000 – 1,500 มิลลิกรัม การรับประทานยาบำรุงกระดูกบางชนิด การรับประทานอาหารที่มีสารเอสโตนเจนจากธรรมชาติ เช่น พวกถั่วเหลือง ก็สามารถให้ทดแทนได้ในกรณีที่ไม่สามารถรับประทานยาฮอร์โมนได้ การดูแลสุขภาพโดยทั่วไป
ข้อควรปฏิบัติของสตรีผู้ที่มีภาวะหมดระดู
1. อาหาร สตรีวัยหมดระดูควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ปลาเล็กปลาน้อยที่รับประทานพร้อมก้าง ผักใบเขียว เป็นต้น แคลเซียมที่รับประทานจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูกเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ควรควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือดโดยงดรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ รำมวยจีน เต้นแอโรบิก เป็นต้น
3. ฝึกการควบคุมอารมณ์ ให้มีความคิดในทางบวก และทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบาน
4. ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ปีละ 1 ครั้ง ตรวจเช็คความดันโลหิต ตรวจเลือดหาระดับไขมัน ตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูก ตรวจหามะเร็งเต้านม (Mammography) และตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density) รวมทั้งการตรวจระดับของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับวัยทอง
Comments
Post a Comment